แบบเสนอโครงการ
การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรด้วยการแปรรูป โดยการทำเบเกอรี่ขั้นพื้นฐาน
1. ชื่อโครงการ
การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรด้วยการแปรรูป โดยการทำเบเกอรี่ขั้นพื้นฐานกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการลำสามแก้วดร.มาโนช พรหมปัญโญมหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ เลขที่ 2410/2 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 109000980151007อาจารย์ณัฐกฤตา นันทะสิ
ดร.ทัศตะวัน ด่วนตระกูลศิลป์
ดร.นครินทร์ ทั่งทอง
อาจารย์ชญาณิศา วงษ์พันธุ์
อาจารย์สละ แย้มมีกลิ่น
ดร.ทัศตะวัน ด่วนตระกูลศิลป์
ดร.นครินทร์ ทั่งทอง
อาจารย์ชญาณิศา วงษ์พันธุ์
อาจารย์สละ แย้มมีกลิ่น
2. พื้นที่ดำเนินงาน
3. รายละเอียดชุมชน
ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมา
เทศบาลเมืองลำสามแก้ว ตั้งอยู่บริเวณชุมชนลำสามแก้ว คลองซอยที่ 1, 2 และ 3 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีเนื้อที่ 12.5 ตารางกิโลเมตร ยกฐานะจากองค์การบริหารส่วนตำบลคูคต เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 ชุมชนลำสามแก้วเคยมีลำน้ำจากนครนายกไหลผ่านพื้นที่ไปลงแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านวัดอ้อมแก้ว ต่อมาวัดดังกล่าวได้รื้อไปสร้างวัดกลางคลองสี่ (พระอาจารย์ทองอินทร์) และวัดสายไหม(พระอาจารย์ทองใบ) ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “บ้านลำสามแก้ว” (บันทึกระทรวงมหาดไทย) ชุมชนลำสามแก้ว เป็นอาณาบริเวณที่ผ่าประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงกายภาพและวัฒนธรรมที่เข้มข้นและกว้างขวางมากยิ่งกว่าอาณาบริเวณ อื่น ๆ ในประเทศไทย
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณชุมชนลำสามแก้ว เริ่มขึ้นเมื่อมีการขุดคลองรังสิตประยูรศักดิ์ โดยบริษัทขุดคลองแลคูนาสยามจำกัด ใน พ.ศ. 2420 ซึ่งมีผลทำให้บริเวณชุมชนลำสามแก้ว ที่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ปราศจากการใช้ประโยชน์ ไม่มีชุมชนหรือผู้คนตั้งหลักแหล่งอาศัยทำกินพื้นที่ทั้งหมดเป็นป่าดงรกชัฏ ที่ลุ่ม หนองบึง เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ ทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก สัตว์ปีก สัตว์น้ำและพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด เปลี่ยนแปลงไปเป็นพื้นที่ของการเพาะปลูก ข้าวนาลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่มีการสร้างระบบชลประทานสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่แล้ว การเพาะปลูกข้าวในบริเวณชุมชนลำสามแก้วก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น และชุมชนลำสามแก้วก็เริ่มมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อภาคเศรษฐกิจ การส่งออกของข้าวไทยมีการเคลื่อนย้ายอพยพประชากรจากที่ต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภูมิหลังทางสังคม เข้ามาตั้งหลักแหล่งบุกเบิกที่ดินเป็นพื้นนาสร้างชุมชนทางการเกษตรและการค้า หลังจากนั้นบางส่วนของชุมชน ลำสามแก้ว ได้กลายเป็นที่สวนและไร่ ใช้เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ในรูปแบบต่างๆ ภายหลัง พ.ศ. 2504 เมื่อมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตก็เริ่มขยายเข้ามาในบริเวณชุมชนลำสามแก้ว จังหวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบริเวณที่เกี่ยวเนื่องกับชุมชนลำสามแก้ว ดำเนินไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ทุนขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีระดับสูง ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ การขยายตัวของประชากรและชุมชนที่อยู่อาศัย สถาบันการศึกษาขั้นสูง ศูนย์ธุรกิจ การพาณิชย์สมัยใหม่ และแหล่งพักผ่อนในรูปแบบต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้อาณาบริเวณชุมชนลำสามแก้วในปัจจุบันเป็นทั้งเขตอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญที่สุดเขตหนึ่งระบบเศรษฐกิจของไทย เป็นอาณาบริเวณที่มีอัตราการขยายตัวของชุมชนที่พักอาศัยสูงที่สุดบริเวณหนึ่ง จนบางส่วนกลายเป็นเขตที่อยู่อาศัยชานเมืองของกรุงเทพมหานครไป โดยปริยายแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาบริเวณชุมชนลำสามแก้วก็ยังคงดำรงภาคการผลิตทางการเกษตรอย่างเข้มข้นต่อไปบนพื้นฐานของเทคโนโลยีและการตลาดแบบใหม่
จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณชุมชนลำสามแก้ว ดังกล่าว ทำให้คลองชุมชนลำสามแก้ว กลายเป็นคลองชลประทานในอดีตที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตคนริมคลองที่มีความเป็นอยู่ อาชีพ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ความเชื่อที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง มีโบราณสถาน โบราณวัตถุเกิดขึ้นบริเวณริมคลองมากมาย และควรได้มีการอนุรักษ์คลองชุมชนลำสามแก้วไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชม และภาคภูมิใจกับมรดกของชาติ นอกจากคลองชุมชนลำสามแก้ว ยังเป็นคลองที่มีความเหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งการที่จะทำให้แนวความคิดดังกล่าวประสบความสำเร็จได้นั้น บุคลากรในท้องถิ่นต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมีองค์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ ซึ่งเด็ก เยาวชนและประชาชนในชุมชนลำสามแก้ว ถือเป็นบุคคลสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่นอย่างชัดเจน
วิถีชีวิตชุมชนลำสามแก้ว
คลอง คือ หัวใจสำคัญในการพัฒนาชุมชนลำสามแก้วให้มีสภาพ เป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านที่ทยอยกันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะบริเวณสองฝั่งคลอง จะมีบ้านเรือนของชาวบ้านตั้งเรียงรายกันเป็นระยะ ๆ มีทั้งเป็นเพิงและบ้านทรงหน้าจั่วธรรมดา ที่ทำด้วยไม้ หลังคามุงจาก รอบ ๆ บริเวณบ้านจะปลูกพืชผลต่าง ๆ เช่น กล้วย อ้อย มะยม ขนุน และพืชผักสวนครัวประเภท ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เป็นต้น ใต้ถุนบ้านและชายน้ำจะเลี้ยงเป็ดและไก่ ที่ชายคลองหน้าบ้านจะปลูกผักบุ้งลอย เป็นแพดูสวยงาม ชาวบ้านได้อาศัยสายน้ำในคลองเพื่ออุปโภคและบริโภค เริ่มตั้งแต่ใช้ดื่มกิน หุงต้มข้าวปลาอาหาร อาบน้ำชำระร่างกาย ซักเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ นอกจากนี้ยังเป็นลมหายใจของเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร และเลี้ยงสัตว์นานาชนิด น้ำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด คลองชุมชนลำสามแก้ว ซึ่งมีสายน้ำที่ใสสะอาดและพืชพันธุ์ไม้ธรรมชาติ จึงเป็นที่อยู่ของกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ชาวบ้านจะจับสัตว์น้ำนานาชนิดด้วยเครื่องมือประเภทต่างๆ เช่น สวิง แห อวน ยอ ลอบ ข่ายและเบ็ด เพื่อนำไปเป็นอาหาร เหลือจากนั้นจะนำไปขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังใช้คลองเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งเพื่อสัญจรไปมา ค้าขาย ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน จับจ่ายซื้อข้าวของที่ตลาด ซึ่งตลาดที่มีชื่อเสียงของคลองรังสิต คือ ตลาดรังสิตเพราะมีของขายนานาชนิด อีกทั้งช่วยทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียเวลาไปจ่ายของที่ตลาดซึ่งอยู่ไกลบ้าน สำหรับพาหนะที่ใช้ในคลอง คือ เรือ ซึ่งเรือที่นิยมใช้ประจำวัน คือ เรือบด เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด นั่ง 2 คน ถ้าจะขนส่งข้าวและพืชผลต่างๆ จำนวนมาก จะใช้เรือขนาดใหญ่กว่าเรือบด คือ เรือมาด เรือชะล่า และเรือสำปั้นจ้าง ซึ่งต้องใช้แจวและถ่อเป็นอุปกรณ์เพราะมีน้ำหนักมาก แต่ถ้าชาวบ้านจะไปจ่ายของที่ตลาดรังสิต หรือตัวเมืองจะมีเรือรับจ้าง เรียกว่าเรือเมล์ หรือเรือแท็กซี่ เป็นเรือที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำ
และนอกจากนี้ ชาวมอญสามโคกยังใช้คลองลำสามแก้วเป็นเส้นทางค้าขายโดยนำเครื่องปั้นดินเผา เช่น ตุ่มสามโคก อ่าง กระถาง หม้อ ฯลฯ บรรทุกเรือมาขายที่คลองลำสามแก้วอีกด้วย
คลอง นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านอุปโภคบริโภคและการคมนาคมแล้ว ยังเป็นแหล่งวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลองได้อย่างชัดเจน เพราะกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เกิดในบริเวณคลองชุมชนลำสามแก้วแทบทั้งสิ้น
ชีวิตชีวาของคลองเริ่มต้นพร้อมๆ กับชีวิตของชาวบ้าน ที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกไปทำมาหากินในช่วงเวลาประมาณตีสี่ตีห้า ภายในคลองจะมีเรือพายและเรือแจวพายสวนขึ้นล่องไปมาพร้อมกันมีเสียงร้องทักทายกันฉันท์ญาติพี่น้อง เพราะชาวบ้านส่วนมากจะรู้จักมักคุ้นกันตามลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในชนบท ต่อมาประมาณหกโมงเช้าจะมีพระสงฆ์จากวัดสายไหม วัดลาดสนุ่นและวัดโพสพผลเจริญ พายเรือออกบิณฑบาตในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจะจัดเตรียมอาหารหวาน คาว ใส่ถาดออกมานั่งรอใส่บาตรที่หัวสะพานหน้าบ้าน ซึ่งทำด้วยไม่ไผ่ที่ทอด ยื่นยาวออกไปจากตัวบ้านถึงท่าน้ำช่วงสาย ๆ ประมาณสาม สี่โมง ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมงจะมีเรือพ่อค้า แม่ค้านำของกินประเภทต่างๆ พายเรือขายขึ้นล่องไปมาของกินที่มีขายเป็นประจำและชาวบ้านนิยมซื้อได้แก่ น้ำแข็งใส น้ำแข็งกดไอติม(ไอศกรีม) กาแฟ สำหรับเรือขายกาแฟนั้นจะมีขนมแห้ง ๆ ขายเพื่อกินกับกาแฟด้วย เช่น ขนมถั่วทุบ(ตุ๊บตั๊บ) ขนมโก๋ ขนมงา พ่อค้าขายกาแฟ มีวิธีการเรียกลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เสียงตะโกนขายของเหมือนพ่อค้า แม่ค้าอื่นๆ แต่จะใช้แตรบีบเป็นจังหวะ ๆ เสียงดังป๊อด ๆๆ เด็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงแตร จะวิ่งไปบอกผู้ใหญ่พร้อมกับร้องตะโกนว่า “เจ๊กขายกาแฟมาแล้ว” นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวเรือซึ่งเป็นของกินที่ชาวบ้านนิยมกินกันแทบทุกครัวเรือน เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวเรือมีรสชาติอร่อยจนเป็นที่เลื่องลือ ชื่อเสียงของก๋วยเตี๋ยวเรือจึงโด่งดังไปทั่วประเทศจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ “ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับ” มีชื่อเสียงมานาน กว่า 80 ปี ในอดีตเมื่อไปต่างจังหวัด บางจังหวัดบริเวณหน้าร้านจะขึ้นป้ายโฆษณาว่า “ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับเจ้าเก่า”
“ก๋วยเตี๋ยวเรือหลานโกฮับ” “ก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรโกฮับ” เป็นต้น ก๋วยเตี๋ยวเรือของโกฮับได้สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ ในฐานะ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ” ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า “คลองเป็นถิ่นกำเนินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย” ปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวเรือ ได้รับยกย่องให้เป็นอาหารพื้นบ้านของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งทางหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนิยมใช้เป็นอาหารในการจัดเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองของจังหวัดปทุมธานี นอกจากนี้ ในเทศกาลสำคัญ ๆ คลองยังเป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมตามประเพณีของชาวบ้านและชุมชนอีกด้วย เช่น ประเพณีปล่อยปลา การเล่นสาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์ ประเพณีแข่งเรือในเทศกาลทอดกฐิน ประเพณีลอยกระทงในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นต้น มนุษย์เรานั้น ชีวิตและร่างกายดำรงคงอยู่ได้ก็เพราะน้ำ เลือดที่หล่อเลี้ยงการทำงานของหัวใจและอวัยวะต่างๆ ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ก็ต้องการน้ำในการหล่อเลี้ยง แม้แต่ผิวหนังยังต้องการน้ำเพื่อช่วยให้ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่ง เต่งตึง สดใสให้ชวนมอง ดังนั้นถ้าจะเปรียบสายน้ำที่ใสสะอาดในคลองชุมชนลำสามแก้ว คือสายโลหิตที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้าน ก็คงจะไม่ห่างไกลเกินความเป็นจริงนัก
เมื่อความเจริญจากกรุงเทพมหานครแผ่กระจายสู่ปริมณฑล ซึ่งรวมถึงบริเวณคลองด้วยแล้วถนนหนทางหลายสายตัดผ่าน บ้านจัดสรรผุดขึ้นราวดอกเห็ด วิถีชีวิตของชาวบ้านที่ต้องพึงพาอาศัยคลองเสมือนเป็นสายน้ำแห่งชีวิต จึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานจากปากผู้เฒ่าผู้แก่ วิถีชีวิตชาวชุมชนลำสามแก้วปัจจุบันกล่าวได้ว่าไม่แตกต่างจากวิถีชีวิตชาวกรุงเท่าใดนัก
ด้านการศึกษา
เนื่องจากระยะแรก ๆ นั้น ชุมชน ลำสามแก้วยังตั้งถิ่นฐานในลักษณะชั่วคราวความจำเป็นที่จะต้องมีโรงเรียนยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีกฎหมายบังคับ ต่อมา พ.ศ. 2463 พระราชบัญญัติประถมศึกษาได้ประกาศใช้ แต่ในพื้นที่ชนบทยังไม่ให้ความสำคัญมากนัก เมื่อชุมชนลำสามแก้วเริ่มมีประชาชนมากขึ้นจึงได้มีโรงเรียนเกิดขึ้น จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าโรงเรียนที่มีอายุมากที่สุดบริเวณชุมชนคลองลำสามแก้ว คือโรงเรียนขจรเนติยุทธ(โรงเรียนเทศบาล 1) และต่อมาชุมชนหนาแน่นขึ้นจึงได้มีโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น
ที่ตั้ง/แผนที่
การเดินทางมา เทศบาลเมืองลำสามแก้ว สามารถใช้ถนน พหลโยธิน กรุงเทพ - รังสิต แยกไปทางอำเภอลำลูกกา ถ้ามาจากทางรังสิต จะพบสนามกีฬาธูปเตมีย์ เข้าทางปากทางไปอำเภอลำลูกกา เมื่อลงสะพานคลองสองบริเวณตลาดชัชวาลจะพบแยกไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายบริเวณแยกไฟแดงเข้าสู่ถนนเส้นเสมาฟ้าคราม (คลอง2) ผ่านหมู่บ้านฟ้าครามนคร ผ่านตลาดนานาเจริญมาจนถึงปั๊มน้ำมันบางจากบริเวณข้างปั๊มน้ำมันบางจากจะมีซอยกำนันผู้ใหญ่บ้านให้เลี้ยวเข้าซอยดัง กล่าวแล้วตรงตามถนนคอนกรีตมา 500เมตรจะถึงอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองลำสามแก้ว
สภาพทั่วไป
เทศบาลเมืองลำสามแก้ว
มีสำนักงานอยู่เลขที่199 หมู่ที่ 6 ถนนลำลูกกา – ธัญบุรี ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา
จังหวัดปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0 – 2987 – 6001 – 4 โทรสาร 0 – 2987 – 6007 มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 12.5 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่ม ด้านฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และมีคลองชลประทานตัดผ่านในเขตพื้นที่ จำนวน 3 สาย โดยอยู่ห่างจากอำเภอลำลูกกาไปทางทิศตะวันตก ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียงดังนี้
ทิศเหนือติดต่อกับเทศบาลนครรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
ทิศใต้ติดต่อกับเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร
ทิศตะวันออกติดต่อกับเทศบาลเมืองลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
ทิศตะวันตกติดต่อกับเทศบาลเมืองคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
มีลักษณะการปกครอง มีดังนี้
- เขตการปกครองทั้งหมด6หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 , 2 , 3 , 6 , 7 , 12
- จำนวนหลังคาเรือน35,999หลังคาเรือน
- จำนวนประชากรทั้งสิ้น 60,832 คน ประกอบด้วย
ชาย 28,277 คนหญิง 32,555 คน
ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ย 4,866.56 คน/ตารางกิโลเมตร
สภาพทางเศรษฐกิจ
- อาชีพของประชาชนในตำบล
- อาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนในตำบล ได้แก่พนักงานในบริษัทเอกชน, โรงงานอุตสาหกรรม, ข้าราชการ,
พนักงานรัฐวิสาหกิจและประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่
- ครัวเรือนที่ประกอบอาชีพทางเกษตรมีจำนวน 52 ครัวเรือน เนื่องจากพื้นที่ทางการเกษตรมีเหลือเพียง 1,020 ไร่ แยกได้ดังนี้
- ทำนา 6 ครัวเรือนพื้นที่ 680 ไร่
- สวนไม้ดอกไม้ประดับ 8 ครัวเรือน พื้นที่ 70 ไร่
- สวนผลไม้ 25 ครัวเรือนพื้นที่ 270 ไร่
- ประกอบธุรกิจในเขตเทศบาลเมืองลำสามแก้ว ได้แก่
- ธนาคาร3แห่ง
- โรงแรม4แห่ง
- ปั๊มน้ำมันและก๊าซ 6แห่ง
- โรงงานอุตสาหกรรม6แห่ง
- โรงสีข้าว1แห่ง
สภาพทางสังคม
- การศึกษา
-เตรียมความพร้อมก่อนวัยเรียน3 แห่ง
- โรงเรียนประถมศึกษา3 แห่ง
- โรงเรียนมัธยมศึกษา 2 แห่ง
- โรงเรียนอาชีวศึกษา-แห่ง
- โรงเรียน/สถาบันชั้นสูง - แห่ง
- ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน/ห้องสมุดประชาชน1แห่ง
- ศาสนา
- วัด/สำนักสงฆ์ 2 แห่ง
- มัสยิด- แห่ง
- ศาลเจ้า-แห่ง
- โบสถ์2 แห่ง
- การสาธารณสุข
- โรงพยาบาลของรัฐขนาด – เตียง - แห่ง
- สถานีอนามัยประจำตำบล/หมู่บ้าน2 แห่ง
- สถานพยาบาลเอกชน2 แห่ง
- ร้านขายยาแผนปัจจุบัน10แห่ง
- อัตราการมีและใช้ส้วมราดน้ำ ร้อยละ 100%
- ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
- งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 1 แห่ง
ความเป็นมา
เทศบาลเมืองลำสามแก้ว ตั้งอยู่บริเวณชุมชนลำสามแก้ว คลองซอยที่ 1, 2 และ 3 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีเนื้อที่ 12.5 ตารางกิโลเมตร ยกฐานะจากองค์การบริหารส่วนตำบลคูคต เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 ชุมชนลำสามแก้วเคยมีลำน้ำจากนครนายกไหลผ่านพื้นที่ไปลงแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านวัดอ้อมแก้ว ต่อมาวัดดังกล่าวได้รื้อไปสร้างวัดกลางคลองสี่ (พระอาจารย์ทองอินทร์) และวัดสายไหม(พระอาจารย์ทองใบ) ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “บ้านลำสามแก้ว” (บันทึกระทรวงมหาดไทย) ชุมชนลำสามแก้ว เป็นอาณาบริเวณที่ผ่าประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงกายภาพและวัฒนธรรมที่เข้มข้นและกว้างขวางมากยิ่งกว่าอาณาบริเวณ อื่น ๆ ในประเทศไทย
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณชุมชนลำสามแก้ว เริ่มขึ้นเมื่อมีการขุดคลองรังสิตประยูรศักดิ์ โดยบริษัทขุดคลองแลคูนาสยามจำกัด ใน พ.ศ. 2420 ซึ่งมีผลทำให้บริเวณชุมชนลำสามแก้ว ที่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ปราศจากการใช้ประโยชน์ ไม่มีชุมชนหรือผู้คนตั้งหลักแหล่งอาศัยทำกินพื้นที่ทั้งหมดเป็นป่าดงรกชัฏ ที่ลุ่ม หนองบึง เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ ทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก สัตว์ปีก สัตว์น้ำและพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด เปลี่ยนแปลงไปเป็นพื้นที่ของการเพาะปลูก ข้าวนาลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่มีการสร้างระบบชลประทานสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่แล้ว การเพาะปลูกข้าวในบริเวณชุมชนลำสามแก้วก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น และชุมชนลำสามแก้วก็เริ่มมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อภาคเศรษฐกิจ การส่งออกของข้าวไทยมีการเคลื่อนย้ายอพยพประชากรจากที่ต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภูมิหลังทางสังคม เข้ามาตั้งหลักแหล่งบุกเบิกที่ดินเป็นพื้นนาสร้างชุมชนทางการเกษตรและการค้า หลังจากนั้นบางส่วนของชุมชน ลำสามแก้ว ได้กลายเป็นที่สวนและไร่ ใช้เพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ในรูปแบบต่างๆ ภายหลัง พ.ศ. 2504 เมื่อมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตก็เริ่มขยายเข้ามาในบริเวณชุมชนลำสามแก้ว จังหวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบริเวณที่เกี่ยวเนื่องกับชุมชนลำสามแก้ว ดำเนินไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ทุนขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีระดับสูง ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ การขยายตัวของประชากรและชุมชนที่อยู่อาศัย สถาบันการศึกษาขั้นสูง ศูนย์ธุรกิจ การพาณิชย์สมัยใหม่ และแหล่งพักผ่อนในรูปแบบต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้อาณาบริเวณชุมชนลำสามแก้วในปัจจุบันเป็นทั้งเขตอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญที่สุดเขตหนึ่งระบบเศรษฐกิจของไทย เป็นอาณาบริเวณที่มีอัตราการขยายตัวของชุมชนที่พักอาศัยสูงที่สุดบริเวณหนึ่ง จนบางส่วนกลายเป็นเขตที่อยู่อาศัยชานเมืองของกรุงเทพมหานครไป โดยปริยายแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาบริเวณชุมชนลำสามแก้วก็ยังคงดำรงภาคการผลิตทางการเกษตรอย่างเข้มข้นต่อไปบนพื้นฐานของเทคโนโลยีและการตลาดแบบใหม่
จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณชุมชนลำสามแก้ว ดังกล่าว ทำให้คลองชุมชนลำสามแก้ว กลายเป็นคลองชลประทานในอดีตที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตคนริมคลองที่มีความเป็นอยู่ อาชีพ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ความเชื่อที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง มีโบราณสถาน โบราณวัตถุเกิดขึ้นบริเวณริมคลองมากมาย และควรได้มีการอนุรักษ์คลองชุมชนลำสามแก้วไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชม และภาคภูมิใจกับมรดกของชาติ นอกจากคลองชุมชนลำสามแก้ว ยังเป็นคลองที่มีความเหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งการที่จะทำให้แนวความคิดดังกล่าวประสบความสำเร็จได้นั้น บุคลากรในท้องถิ่นต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมีองค์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ ซึ่งเด็ก เยาวชนและประชาชนในชุมชนลำสามแก้ว ถือเป็นบุคคลสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่นอย่างชัดเจน
วิถีชีวิตชุมชนลำสามแก้ว
คลอง คือ หัวใจสำคัญในการพัฒนาชุมชนลำสามแก้วให้มีสภาพ เป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านที่ทยอยกันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะบริเวณสองฝั่งคลอง จะมีบ้านเรือนของชาวบ้านตั้งเรียงรายกันเป็นระยะ ๆ มีทั้งเป็นเพิงและบ้านทรงหน้าจั่วธรรมดา ที่ทำด้วยไม้ หลังคามุงจาก รอบ ๆ บริเวณบ้านจะปลูกพืชผลต่าง ๆ เช่น กล้วย อ้อย มะยม ขนุน และพืชผักสวนครัวประเภท ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เป็นต้น ใต้ถุนบ้านและชายน้ำจะเลี้ยงเป็ดและไก่ ที่ชายคลองหน้าบ้านจะปลูกผักบุ้งลอย เป็นแพดูสวยงาม ชาวบ้านได้อาศัยสายน้ำในคลองเพื่ออุปโภคและบริโภค เริ่มตั้งแต่ใช้ดื่มกิน หุงต้มข้าวปลาอาหาร อาบน้ำชำระร่างกาย ซักเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ นอกจากนี้ยังเป็นลมหายใจของเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร และเลี้ยงสัตว์นานาชนิด น้ำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด คลองชุมชนลำสามแก้ว ซึ่งมีสายน้ำที่ใสสะอาดและพืชพันธุ์ไม้ธรรมชาติ จึงเป็นที่อยู่ของกุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ชาวบ้านจะจับสัตว์น้ำนานาชนิดด้วยเครื่องมือประเภทต่างๆ เช่น สวิง แห อวน ยอ ลอบ ข่ายและเบ็ด เพื่อนำไปเป็นอาหาร เหลือจากนั้นจะนำไปขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังใช้คลองเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งเพื่อสัญจรไปมา ค้าขาย ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน จับจ่ายซื้อข้าวของที่ตลาด ซึ่งตลาดที่มีชื่อเสียงของคลองรังสิต คือ ตลาดรังสิตเพราะมีของขายนานาชนิด อีกทั้งช่วยทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียเวลาไปจ่ายของที่ตลาดซึ่งอยู่ไกลบ้าน สำหรับพาหนะที่ใช้ในคลอง คือ เรือ ซึ่งเรือที่นิยมใช้ประจำวัน คือ เรือบด เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด นั่ง 2 คน ถ้าจะขนส่งข้าวและพืชผลต่างๆ จำนวนมาก จะใช้เรือขนาดใหญ่กว่าเรือบด คือ เรือมาด เรือชะล่า และเรือสำปั้นจ้าง ซึ่งต้องใช้แจวและถ่อเป็นอุปกรณ์เพราะมีน้ำหนักมาก แต่ถ้าชาวบ้านจะไปจ่ายของที่ตลาดรังสิต หรือตัวเมืองจะมีเรือรับจ้าง เรียกว่าเรือเมล์ หรือเรือแท็กซี่ เป็นเรือที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำ
และนอกจากนี้ ชาวมอญสามโคกยังใช้คลองลำสามแก้วเป็นเส้นทางค้าขายโดยนำเครื่องปั้นดินเผา เช่น ตุ่มสามโคก อ่าง กระถาง หม้อ ฯลฯ บรรทุกเรือมาขายที่คลองลำสามแก้วอีกด้วย
คลอง นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านอุปโภคบริโภคและการคมนาคมแล้ว ยังเป็นแหล่งวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลองได้อย่างชัดเจน เพราะกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เกิดในบริเวณคลองชุมชนลำสามแก้วแทบทั้งสิ้น
ชีวิตชีวาของคลองเริ่มต้นพร้อมๆ กับชีวิตของชาวบ้าน ที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกไปทำมาหากินในช่วงเวลาประมาณตีสี่ตีห้า ภายในคลองจะมีเรือพายและเรือแจวพายสวนขึ้นล่องไปมาพร้อมกันมีเสียงร้องทักทายกันฉันท์ญาติพี่น้อง เพราะชาวบ้านส่วนมากจะรู้จักมักคุ้นกันตามลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในชนบท ต่อมาประมาณหกโมงเช้าจะมีพระสงฆ์จากวัดสายไหม วัดลาดสนุ่นและวัดโพสพผลเจริญ พายเรือออกบิณฑบาตในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจะจัดเตรียมอาหารหวาน คาว ใส่ถาดออกมานั่งรอใส่บาตรที่หัวสะพานหน้าบ้าน ซึ่งทำด้วยไม่ไผ่ที่ทอด ยื่นยาวออกไปจากตัวบ้านถึงท่าน้ำช่วงสาย ๆ ประมาณสาม สี่โมง ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมงจะมีเรือพ่อค้า แม่ค้านำของกินประเภทต่างๆ พายเรือขายขึ้นล่องไปมาของกินที่มีขายเป็นประจำและชาวบ้านนิยมซื้อได้แก่ น้ำแข็งใส น้ำแข็งกดไอติม(ไอศกรีม) กาแฟ สำหรับเรือขายกาแฟนั้นจะมีขนมแห้ง ๆ ขายเพื่อกินกับกาแฟด้วย เช่น ขนมถั่วทุบ(ตุ๊บตั๊บ) ขนมโก๋ ขนมงา พ่อค้าขายกาแฟ มีวิธีการเรียกลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เสียงตะโกนขายของเหมือนพ่อค้า แม่ค้าอื่นๆ แต่จะใช้แตรบีบเป็นจังหวะ ๆ เสียงดังป๊อด ๆๆ เด็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงแตร จะวิ่งไปบอกผู้ใหญ่พร้อมกับร้องตะโกนว่า “เจ๊กขายกาแฟมาแล้ว” นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวเรือซึ่งเป็นของกินที่ชาวบ้านนิยมกินกันแทบทุกครัวเรือน เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวเรือมีรสชาติอร่อยจนเป็นที่เลื่องลือ ชื่อเสียงของก๋วยเตี๋ยวเรือจึงโด่งดังไปทั่วประเทศจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ “ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับ” มีชื่อเสียงมานาน กว่า 80 ปี ในอดีตเมื่อไปต่างจังหวัด บางจังหวัดบริเวณหน้าร้านจะขึ้นป้ายโฆษณาว่า “ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับเจ้าเก่า”
“ก๋วยเตี๋ยวเรือหลานโกฮับ” “ก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรโกฮับ” เป็นต้น ก๋วยเตี๋ยวเรือของโกฮับได้สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ ในฐานะ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ” ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า “คลองเป็นถิ่นกำเนินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย” ปัจจุบันก๋วยเตี๋ยวเรือ ได้รับยกย่องให้เป็นอาหารพื้นบ้านของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งทางหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนิยมใช้เป็นอาหารในการจัดเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองของจังหวัดปทุมธานี นอกจากนี้ ในเทศกาลสำคัญ ๆ คลองยังเป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมตามประเพณีของชาวบ้านและชุมชนอีกด้วย เช่น ประเพณีปล่อยปลา การเล่นสาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์ ประเพณีแข่งเรือในเทศกาลทอดกฐิน ประเพณีลอยกระทงในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นต้น มนุษย์เรานั้น ชีวิตและร่างกายดำรงคงอยู่ได้ก็เพราะน้ำ เลือดที่หล่อเลี้ยงการทำงานของหัวใจและอวัยวะต่างๆ ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ก็ต้องการน้ำในการหล่อเลี้ยง แม้แต่ผิวหนังยังต้องการน้ำเพื่อช่วยให้ผิวพรรณแลดูเปล่งปลั่ง เต่งตึง สดใสให้ชวนมอง ดังนั้นถ้าจะเปรียบสายน้ำที่ใสสะอาดในคลองชุมชนลำสามแก้ว คือสายโลหิตที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้าน ก็คงจะไม่ห่างไกลเกินความเป็นจริงนัก
เมื่อความเจริญจากกรุงเทพมหานครแผ่กระจายสู่ปริมณฑล ซึ่งรวมถึงบริเวณคลองด้วยแล้วถนนหนทางหลายสายตัดผ่าน บ้านจัดสรรผุดขึ้นราวดอกเห็ด วิถีชีวิตของชาวบ้านที่ต้องพึงพาอาศัยคลองเสมือนเป็นสายน้ำแห่งชีวิต จึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานจากปากผู้เฒ่าผู้แก่ วิถีชีวิตชาวชุมชนลำสามแก้วปัจจุบันกล่าวได้ว่าไม่แตกต่างจากวิถีชีวิตชาวกรุงเท่าใดนัก
ด้านการศึกษา
เนื่องจากระยะแรก ๆ นั้น ชุมชน ลำสามแก้วยังตั้งถิ่นฐานในลักษณะชั่วคราวความจำเป็นที่จะต้องมีโรงเรียนยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีกฎหมายบังคับ ต่อมา พ.ศ. 2463 พระราชบัญญัติประถมศึกษาได้ประกาศใช้ แต่ในพื้นที่ชนบทยังไม่ให้ความสำคัญมากนัก เมื่อชุมชนลำสามแก้วเริ่มมีประชาชนมากขึ้นจึงได้มีโรงเรียนเกิดขึ้น จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าโรงเรียนที่มีอายุมากที่สุดบริเวณชุมชนคลองลำสามแก้ว คือโรงเรียนขจรเนติยุทธ(โรงเรียนเทศบาล 1) และต่อมาชุมชนหนาแน่นขึ้นจึงได้มีโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น
ที่ตั้ง/แผนที่
การเดินทางมา เทศบาลเมืองลำสามแก้ว สามารถใช้ถนน พหลโยธิน กรุงเทพ - รังสิต แยกไปทางอำเภอลำลูกกา ถ้ามาจากทางรังสิต จะพบสนามกีฬาธูปเตมีย์ เข้าทางปากทางไปอำเภอลำลูกกา เมื่อลงสะพานคลองสองบริเวณตลาดชัชวาลจะพบแยกไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายบริเวณแยกไฟแดงเข้าสู่ถนนเส้นเสมาฟ้าคราม (คลอง2) ผ่านหมู่บ้านฟ้าครามนคร ผ่านตลาดนานาเจริญมาจนถึงปั๊มน้ำมันบางจากบริเวณข้างปั๊มน้ำมันบางจากจะมีซอยกำนันผู้ใหญ่บ้านให้เลี้ยวเข้าซอยดัง กล่าวแล้วตรงตามถนนคอนกรีตมา 500เมตรจะถึงอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองลำสามแก้ว
สภาพทั่วไป
เทศบาลเมืองลำสามแก้ว
มีสำนักงานอยู่เลขที่199 หมู่ที่ 6 ถนนลำลูกกา – ธัญบุรี ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา
จังหวัดปทุมธานี หมายเลขโทรศัพท์ 0 – 2987 – 6001 – 4 โทรสาร 0 – 2987 – 6007 มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 12.5 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่ม ด้านฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และมีคลองชลประทานตัดผ่านในเขตพื้นที่ จำนวน 3 สาย โดยอยู่ห่างจากอำเภอลำลูกกาไปทางทิศตะวันตก ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ใกล้เคียงดังนี้
ทิศเหนือติดต่อกับเทศบาลนครรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
ทิศใต้ติดต่อกับเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร
ทิศตะวันออกติดต่อกับเทศบาลเมืองลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
ทิศตะวันตกติดต่อกับเทศบาลเมืองคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
มีลักษณะการปกครอง มีดังนี้
- เขตการปกครองทั้งหมด6หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 , 2 , 3 , 6 , 7 , 12
- จำนวนหลังคาเรือน35,999หลังคาเรือน
- จำนวนประชากรทั้งสิ้น 60,832 คน ประกอบด้วย
ชาย 28,277 คนหญิง 32,555 คน
ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ย 4,866.56 คน/ตารางกิโลเมตร
สภาพทางเศรษฐกิจ
- อาชีพของประชาชนในตำบล
- อาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนในตำบล ได้แก่พนักงานในบริษัทเอกชน, โรงงานอุตสาหกรรม, ข้าราชการ,
พนักงานรัฐวิสาหกิจและประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่
- ครัวเรือนที่ประกอบอาชีพทางเกษตรมีจำนวน 52 ครัวเรือน เนื่องจากพื้นที่ทางการเกษตรมีเหลือเพียง 1,020 ไร่ แยกได้ดังนี้
- ทำนา 6 ครัวเรือนพื้นที่ 680 ไร่
- สวนไม้ดอกไม้ประดับ 8 ครัวเรือน พื้นที่ 70 ไร่
- สวนผลไม้ 25 ครัวเรือนพื้นที่ 270 ไร่
- ประกอบธุรกิจในเขตเทศบาลเมืองลำสามแก้ว ได้แก่
- ธนาคาร3แห่ง
- โรงแรม4แห่ง
- ปั๊มน้ำมันและก๊าซ 6แห่ง
- โรงงานอุตสาหกรรม6แห่ง
- โรงสีข้าว1แห่ง
สภาพทางสังคม
- การศึกษา
-เตรียมความพร้อมก่อนวัยเรียน3 แห่ง
- โรงเรียนประถมศึกษา3 แห่ง
- โรงเรียนมัธยมศึกษา 2 แห่ง
- โรงเรียนอาชีวศึกษา-แห่ง
- โรงเรียน/สถาบันชั้นสูง - แห่ง
- ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน/ห้องสมุดประชาชน1แห่ง
- ศาสนา
- วัด/สำนักสงฆ์ 2 แห่ง
- มัสยิด- แห่ง
- ศาลเจ้า-แห่ง
- โบสถ์2 แห่ง
- การสาธารณสุข
- โรงพยาบาลของรัฐขนาด – เตียง - แห่ง
- สถานีอนามัยประจำตำบล/หมู่บ้าน2 แห่ง
- สถานพยาบาลเอกชน2 แห่ง
- ร้านขายยาแผนปัจจุบัน10แห่ง
- อัตราการมีและใช้ส้วมราดน้ำ ร้อยละ 100%
- ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
- งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 1 แห่ง
4. ประเด็นปัญหาหลัก
5. ประเด็นที่เกี่ยวข้อง
6. องค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่ใช้ในการดำเนินโครงงาน
7. วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ / ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ขนาด | เป้าหมาย 1 ปี |
---|
8. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย | จำนวน(คน) |
---|
9. ระยะเวลา
10. วิธีดำเนินงาน
รวมงบประมาณทุกกิจกรรมของแผนการดำเนินงาน จำนวน 0.00 บาท
รวมเงิน | |
---|---|
ค่าใช้จ่าย (บาท) | 0.00 |
เปอร์เซ็นต์ (%) | 100.00% |
11. งบประมาณ
0.00บาท
12. การติดตามประเมินผล
ต่อชุมชน | ต่อนักศึกษา | |
---|---|---|
ผลผลิต (Output) | ||
ผลลัพธ์ (Outcome) | ||
ผลกระทบ (Impact) |